วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

การประเมินราคาอสังหาฯ เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้

การประเมินราคาอสังหาฯ เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้

เมื่อ พูดถึงเรื่องการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังมีความคิดที่จะซื้อบ้าน หรือขอกู้เงินในระบบสถาบันการเงิน เรื่องของการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณควรทำ ความเข้าใจ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีการโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในลักษณะที่ว่า "รับประกันกู้ได้100%" หาก ไม่มีการสอบถามถึงรายละเอียดเงื่อนไขแคมเปญส่งเสริมการขายดังกล่าว และไม่คุ้นเคยกับหลักเกณฑ์ในการให้สินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน อาจทำให้ผู้ซื้อบ้านเข้าใจสับสนไปว่าเมื่อซื้อบ้าน หรือห้องชุดในโครงการนั้นแล้วจะขอสินเชื่อกับธนาคารได้เต็มจำนวนตามราคาขาย ซึ่งในทางปฏิบัติไม่มีธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใดให้วงเงินกู้ได้เต็ม 100 % ของ ราคาขาย เพราะนอกจากจะผิดเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่ออีกด้วย

เพื่อ เป็นการลดความเสี่ยง "การประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์" จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ สถาบันการเงินซึ่งในที่นี้หมายความรวมถึงธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่มีอยู่ในระบบทั้งหมด จะทำการประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้กู้นำมาใช้เป็นหลักประกัน นับตั้งแต่วันยื่นกู้และจะให้วงเงินกู้ในสัดส่วนที่ต่ำกว่ามูลค่าของหลัก ประกันเสมอ จำนวนส่วนต่างระหว่างมูลค่าของหลักประกันที่ได้จากการประเมินค่า กับวงเงินสินเชื่อที่สถาบันการเงินให้กู้นี้เรียกว่า "เงินส่วนเหลือของหลักประกัน" หรืออาจเรียกว่า " ส่วนทุนของผู้กู้" เงินส่วนทุนของผู้กู้ยิ่งมากเพียงใดสถาบันการเงินจะมีความเสี่ยงลดลงมาก เพียงนั้น แต่บางครั้งอาจกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่สามารถซื้อบ้านได้ เพราะไม่มีวงเงินสมทบมาโปะส่วนต่างดังกล่าว

โดย ทั่วไปการอนุมัติวงเงินกู้ของสถาบันการเงินจะพิจารณาตามประเภทของหลักประกัน หากเป็นบ้านพร้อมที่ดินโดยปรกติจะได้รับวงเงินกู้สูงสุดประมาณร้อยละ 80-85 ของราคาประเมินหลักประกัน แต่หากเป็นห้องชุด อาคารพาณิชย์ วงเงินกู้สูงสุดจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70-75 จะ เห็นได้ว่าการพิจารณาวงเงินกู้ของสถาบันการเงินจะยึดเกณฑ์ราคาที่ได้จากการ ประเมินค่า ดังนั้นหากการประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกันคลาดเคลื่อนไปจาก ความเป็นจริง จะส่งผลกระทบทั้งกับสถาบันการเงิน และกับตัวของผู้ซื้อบ้าน ไม่ว่าราคาประเมินนั้นจะสูงหรือต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น

เพราะ หากมีการประเมินราคาที่สูงเกินความเป็นจริง สถาบันการเงินอนุมัติวงเงินสินเชื่อสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหลักประกัน ผู้ให้กู้ย่อมเป็นผู้รับความเสี่ยงเช่นเมื่อเกิดการผิดนัดชำระหนี้จนถึงขึ้น ดำเนินคดียึดทรัพย์ขายทอดตลาด เมื่อนำอสังหาริมทรัพย์มาประเมินราคา ปรากฏว่าราคาประเมินของกรมบังคับคดีต่ำกว่าราคาประเมินของสถาบันการเงิน ผู้ให้กู้ต้องรับผิดชอบความเสี่ยหายที่เกิดขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากมีการประเมินราคาหลักประกันที่ต่ำเกินไป จนผู้ซื้อบ้านไม่สามารถนำวงเงินกู้ที่ได้ไปชำระให้แก่เจ้าของโครงการ ผู้ซื้อบ้านรายเดียวกันนี้อาจเปลี่ยนใจไปใช้บริการสินเชื่อของสถาบันการเงิน แห่งอื่น ทำให้สถาบันการเงินแห่งนั้นต้องเสียลูกค้าไปซึ่งเป็นการเสียโอกาสทางการตลาด และหากสถาบันการเงินแห่งอื่นๆก็ปฏิเสธที่จะให้วงเงินสินเชื่อเท่ากับวงเงิน ที่ผู้ซื้อบ้านรายนี้ต้องการ ความเดือดร้อนจะตกอยู่ที่ตัวของผู้ซื้อบ้านเนื่องจากชำระเงินดาวน์ไปแล้วแต่ กลับไม่สามารถรับโอนกรรมสิทธิ์ได้ ก่อให้เกิดปัญหาเป็นลูกโซ่ตามมาคือผู้ประกอบการเจ้าของโครงการก็จะเสียโอกาส ทางการตลาดเช่นกัน

ดังนั้นสถาบันการเงินทุก แห่งจึงให้ความสำคัญกับการประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกัน เงินกู้เป็นอย่างมาก หลายแห่งเลือกใช้บริการจากผู้ประเมินราคาอิสระเพื่อให้การให้ราคาเป็นไป อย่างอิสระใกล้เคียงกับราคาตลาดมากที่สุด เช่นการใช้บริการผู้ประเมินราคาอิสระของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารยูโอบี รัตนสิน ธนาคารเอเซีย ธนาคารสแตนดาทชาเตอร์ นครธน และธนาคารดีบีเอส ไทยทนุ ธนาคารบางแห่งตั้งบริษัทในเครือเพื่อให้เข้ามาดูแลงานในส่วนของการประเมิน ค่าอสังหาริมทรัพย์โดยตรง เพื่อความคล่องตัวแต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นอิสระ เช่นธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ส่วนที่เหลือมใช้หน่วยงานภายในเป็นผู้ประเมิน

ซึ่งหากเป็นการประเมินโดยบริษัทผู้ประเมินราคาอิสระ ขณะนี้มีถึง 49 แห่ง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองไว้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ ผู้ประเมินในกลุ่มนี้สามารถประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์รายการใหญ่ในรายการที่ มีวงเงินสินเชื่อเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไปได้อีกด้วย และถือว่าเป็นกลุ่มผู้ประเมินค่าทรัพย์สินที่มีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับ

อย่าง ไรก็ดีการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ จะสูงกว่า หรือต่ำกว่า หรืออาจจะเท่ากับราคาซื้อขายจริง ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน เพราะการประเมินราคาเป็นเพียงความเห็นของผู้ประเมิน ณ วันที่ประเมินเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้ประเมินราคาจะใช้วิธีการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ 3 วิธี สำหรับการประเมินเพื่อการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย คือ 1.วิธีเปรียบเทียบราคาตลาด 2.วิธีต้นทุนทดแทน และ 3.วิธีคิดจากรายได้อสังหาริมทรัพย์

โดย ทั่วไปการประเมินคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณาสินเชื่อราย ย่อย หรือพิจารณาสินเชื่อให้แก่ผู้ซื้อบ้าน ผู้ประเมินค่าทรัพย์สินจะใช้วิธีเปรียบเทียบราคาตลาดโดยการพิจารณาเปรียบ เทียบราคาซื้อขายก่อนหน้านี้ของอสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ อสังหาริมทรัพย์ที่จะประเมินค่า

ส่วนปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบในการปรับค่าได้แก่

1. วันซื้อขาย เพราะหากซื้อขายในช่วงที่เศรษฐกิจบูมแต่ ณ วันประมูลเศรษฐกิจตกต่ำ มูลค่าประเมินอาจลดต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง

2.ทำเล ที่ตั้งและสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และสังคมจิตวิทยา เช่น ในช่วงที่มีการซื้อขายจริงสภาพแวดลล้อมอาจยังไม่มีการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม แต่ ณ วันที่มีการประเมินมีการเปิดให้บริการถนนเส้นใหม่ หรือกลายเป็นจุดเชื่อมต่อระบบโครงข่ายคมนาคมนอกเมืองและในเมือง ราคาประเมินจะสูงกว่าราคาที่มีการซื้อขายจริง

3.ลักษณะทางกายภาพของอสังหาริมทรัพย์ เช่นขนาด หรือรูปแปลงของพื้นที่ หรือคุณภาพของอาคาร

4.เงื่อนไข การซื้อขายอื่นๆ เช่นแรงกดดันในการซื้อขาย จะเห็นได้ว่าเมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขประกอบการประเมินราคา โอกาสที่ราคาประเมินกับราคาซื้อขายจริงจะเป็นราคาเดียวกันนั้นเกิดขึ้นได้ น้อยมาก กรณีที่มีผู้ประกอบการวางกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย โดยเสนอเงื่อนไขประกันวงเงินกู้ 100% แท้ที่จริงเป็นการให้วงเงินกู้ 100 % ของราคาประเมิน ซึ่งไม่ใช่ 100% ของ ราคาซื้อขาย และเพื่อเป็นการป้องกันความเสียงของสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ เงื่อนไขการให้สินเชื่อในลักษณะนี้จะเป็นเงื่อนไขที่ใช้กับโครงการอสังหาริม ทรัพย์ที่สถาบันการเงินแห่งนั้นๆ เป็นผู้ให้วงเงินกู้สนับสนุนโครงการ

ดังนั้นไม่ว่าผู้ซื้อบ้านจะได้สิทธิ์ขอสินเชื่อได้เต็ม 100% เช่น ผู้ซื้อบ้านที่เป็นกลุ่มของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือผู้ซื้อบ้านในโครงการที่สถาบันการเงินให้การสนับสนุนสินเชื่อ ก็จำเป็นต้องมีเงินออมจำนวนหนึ่งเพื่อจ่ายเป็นส่วนทุนของผู้กู้ ซึ่งเงินจำนวนนี้อาจต้องชำระผ่านระบบการผ่อนเงินดาวน์ ในกรณีที่คุณซื้อบ้านแบบสั่งสร้าง หรือจ่ายในรูปของเงินจองและเงินทำสัญญา กรณีที่ซื้อบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย ซึ่งเงินออมจำนวนนี้แสดงให้เห็นว่าคุณมีความพร้อมที่จะผ่อนชำระสินเชื่อระยะ ยาวหรือไม่ หากคุณมีเงินออมมากโอกาสที่จะได้เงื่อนไขพิเศษสุดจากสถาบันการเงินย่อมมาก ขึ้นตามมา เพราะเมื่อส่วนทุนของผู้กู้ยิ่งสูงมากเท่าใดความเสี่ยงของสถาบันการเงินย่อม ต่ำลงเท่านั้น การเสนอเงื่อนไขพิเศษเพื่อรับคุณเป็นลูกค้าจึงเกิดขึ้นตามมา



-----------------------
ข้อมูลประกอบ: วารสารราย 3 เดือน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ 16 ประจำเดือนมกราคม - มีนาคม 2542 บทความเรื่อง บทบาทและหน้าที่ของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
โดยสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

Exsample House : แบบบ้านตัวอย่าง

General Residental Design

Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-101
Area: 180 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-102
Area: 207 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


>
Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-103
Area: 222 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-104
Area: 180 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-105
Area: 180 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-106
Area: 200 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-107
Area: 207 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-108
Area: 299 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-109
Area: 298 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 4 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-110
Area: 180 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-111
Area: 205 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-112
Area: 180 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-113
Area: 205 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-114
Area: 221 Sq.m.
Function
Bed room: 3 Room.
Bathroom: 3 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-115
Area: 290 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 4 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-116
Area: 311 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 4 Room.
Parking : 2 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-117
Area: 322 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 4 Room.
Parking : 4 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-118
Area: 368 Sq.m.
Function
Bed room: 4 Room.
Bathroom: 4 Room.
Parking : 4 Units


Exsample:แบบบ้านทั่วไปแบบที่-119
Area: 451 Sq.m.
Function
Bed room: 5 Room.
Bathroom: 6 Room.
Parking : 4 Units

Residental Types: ประเภทบ้าน

Residental Types: ประเภทบ้าน

เนื่องจากบ้านและที่ดินมีอยู่หลายประเภทแต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะตัวเหมาะสมกับการลงทุนแตกต่างกัน ดังนั้นผู้ลงทุนใน บ้านและที่ดินจึงมีความจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกประเภทบ้านให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย ทั้งนี้บ้านที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจแยกออกได้เป็น 8 ประเภทด้วยกันคือ



1. บ้านเดี่ยว(Single-Family Homes)เป็นแบบบ้านที่อยู่อาศัยที่มีคนนิยมมากที่สุดลักษณะเป็นบ้านตั้งอยู่เดี่ยวๆมีเนื้อที่กว้างขวางรั้วรอบขอบชิด ทำให้ผู้อาศัยได้บรรยากาศของความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากการรบกวนของเพื่อนบ้านบ้านชนิดนี้ปกติแล้จะมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันสามารถตกแต่งได้ในรูปแบบต่างๆ ตามฐานะและรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ



2. อาคารพาณิชย์หรือตึกแถว(Shop Houses)เป็นแบบบ้านอีกลักษณะหนื่งที่ได้รับความนิยมมากในแถบชุมชนเมืองเพราะนอกจากจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้แล้วยังสามารถดัดแปลงให้เป็นสถานที่ทำการค้าหรือธุรกิจได้ด้วย อาคารแบบนี้มักมีเนื้อที่แคบจึงนิยมก่อสร้างหลายๆชั้น



3. ทาวน์เฮาส์(Town house)เป็นบ้านที่มีลักษณะเหมือนตึกแถวบ้านประเภทนี้มักตั้งอยู่ในเมืองต่างกับตึกแถวตรงที่มีบริเวณหน้าบ้านจัดเป็นสวนขนาดย่อมและจอดรถได้ทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่มักเป็นแบบ2-3ชั้นใช้เนื้อที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นที่ในเมืองและมีราคาแพง



4. แฟลตหรืออาพาร์ตเม้นต์(Flat or Apartment)เป็นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะคล้ายอาคารพาณิชย์ คือมีหลายๆชั้น แบ่งเป็นหลายยูนิตวัตถุประสงค์เพื่อให้เช่าปกติแล้วที่อยู่อาศัยแบบนี้ค่าเช่ามักสูง เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีสิ่งอำนวยความสะดวกความปลอดภัยครบ




5. คอนโดมิเนียม(Condominium)หรืออาคารชุด เป็นอาคารที่มีหลายชั้นแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องชุดจำนวนมากซึ่งภายในห้องประกอบด้วยห้องนอน ห้องรับแขก ห้องนำ ฯลฯ อาคารชุดแต่ละแห่งมักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนโดยทั่วไปแล้วอาคารชุดจะตั้งอยู่ในกลางเมืองหรือในที่ชุมชนที่มีการคมนาคมสะดวก อาคารชุดมีหลายประเภท ทั้งประเภทที่อยู่อาศัย (Residential Condominium)และประเภทสำนักงาน(Office Condominium)ผู้ซื้ออาคารชุดจะมีกรราสิทธิ์เป็นเจ้าของอาคารชุดของตนและมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินส่วนกลาง อันได้แก่ ห้องโถง ที่จอดรถ ลิฟต์ สนาม และทางเดิน เป็นต้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางผู้เป็นเจ้าของอาคารชุดจึงต้องร่วมกันรับผิดชอบ



6. สหกรณ์เคหสถาน(Cooperative Housing)เป็นที่อยู่อาศัยแบบสหกรณ์ลักษณะเป็นอาพาร์ตเมนต์เพล็กซ์คล้ายคอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัยประเภทนี้ เกิดขึ้นโดยผู้ต้องการที่อยู่อาศัยจะลงทุนซื้อหุ้นของสหกรณ์และสหกรณ์จะนำเงินนั้นไปซื้อที่ดินและสร้างอาคารให้สมาขิกได้เช่าอยู่ สมาชิกต้องช่วยกันออกค่าบำรุงรักษา ซ่อมแซม ค่าภาษี สมาชิกแต่ละหน่วยมีสิทธิออกเสียงได้หนึ่งเสียงในการเลือกตั้งกรรมการบริหาร



7. บ้านเคลื่อนที่(Mobile Home)บ้านชนิดนี้ในเมืองไทยมักไม่ค่อยคุ้นเคยกันแต่ในต่างประเทศมีมานานแล้วลักษณะเป็นบ้านที่สร้างสำเร็จรูปจากโรงงานและย้ายมาติดตั้งในทำเลที่กำหนดให้เป็นพื้นที่ของบ้านเคลื่อนที่ ผู้ที่เริ่มตั้งครอบครัวใหม่นิยมอยู่บ้านเคลื่อนที่เพราะราคาไม่แพงนัก บางคนก็ใช้บ้านเครื่องที่เป็นสำนักงานเคลื่อนที่ เช่น ผู้รับเหมาเวลาไปรับเหมาก่อสร้างตามแหลงรับเหมาต่างๆ บ้านแบบนี้สามารถขับเคลื่อนหรือพ่วงกับรถคันอื่นได้ ลักษณะภายในมีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านทั่วไป บ้านแบบนี้บางทีนิยมใช้เป็นบ้านของดาราภาพยนตร์หรือนักแสดงซึ่งต้องเดินทางเสมอ ก็จะซื้อรถขนาดใหญ่ปรับปรุงภายในให้เหมือนบ้านคือ มีห้องนอน ห้องเตรียมอาหาร ห้องน้ำ เพียงแต่ละห้องมีขนาดเล็กเท่านั้นสำหรับผู้ที่ชอบท่องเทียวทัศนาจรบริษัทท่องเที่ยวบางแห่งก็จะมีรถยนต์ให้เช่าซึ่งจะตกตกแต่งภายในเหมือนบ้านอยู่อาศัยขับไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆได้ บ้านลักษณะนี้เรียกว่า MotorHome นิยมใช้กันมากตามเมืองท่องเทียวและใช้มากในช่วงของฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งผู้ใช้จะสามารถประหยัดค่าโรงแรกที่พักได้มากเพราะไปกันได้หลายคนและใช้ได้ในช่วงเวลายาวนานอีกด้วย

8. บ้านที่แบ่งเวลาการพักอาศัย(Time-Share Homes)บ้านแบบนี้ตามชื่อก็บอกลักษณะให้ทราบว่ามีการแบ่งเวลาหรือหมุนเวียนกันใช้ประโยชน์ในบ้านพักอาศัยดังกล่าวซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพักผ่อน เช่น บ้านพักหรือเรือนรับรอง ที่อยู่ตามชายหาดหรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ โดยมีบุคคล บริษัทหรือโครงการจัดสรรเป็นเจ้าของใครต้องการไปพักผ่อนในช่วงไหนก็ขอเช่าใช้บ้านพักในช่วงนั้นซึ่งจะมีการแบ่งเวลากันในระหว่างผู้ต้องการใช้มีตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึง 6 เดือน ราคาค่าเช่าก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเป็นต้นว่าระยะเวลาในการเช่าขนาดของบ้าน ทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดตนฤดูกาลของการเช่าพัก

ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมบางแห่งซึ่งได้ขายไปแล้ว ก็ยังให้บริการในลักษณะของ Time Sharing ด้วยคือขณะหนึ่งขณะใดที่เจ้าของไม่ได้อยู่เอง ก็มอบหมายให้ผู้จัดการคอนโดมิเนียมนั้นดูแลให้ โดยหาผู้ที่ต้องการพักผ่อนในช่วงดังกล่าวมาเช่าอยู่แทนซึ่งทำให้เจ้าของมี รายได้ในขณะที่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเองเพียงแต่จ่ายค่าบริการจัดการดังกล่าวบ้างเท่านั้น นอกจากนั้นรูปแบบที่เคยมีการดำเนินการกัน ยังมีการขายสถานที่พักตากอากาศในลักษณะของคอนโด เช่น(Condochain)กล่าวคือเจ้าของกิจการคอนโดเซน จะมีการจำหน่ายห้องกัดตากอากาศ ซึ่งตั้งอยู่ตามสถานที่ตากอากาศหลายๆแหล่ง ผู้ที่ซื้อห้องชุด ณ สถานที่ตากอากาศแห่งหนึ่งจะได้ใช้สิทธิในการใช้ห้องพักของโครงการเดียวกันซึ่งตั้งอยู่ ณ สถานที่ตากอากาศอื่นได้ฟรีปีละกี่วันตามที่เจ้าของโครงการกำหนด อย่างไรก็ดีแนวคิดในเรื่องTime-ShareHome เป็นเรื่องที่มีแง่มุมทางกฎหมายอยู่หลายเรื่อง ดังนั้นผู้ที่ลงทุนในที่อยู่อาศัยลักษณะนี้ควรจะได้มีการปรึกษาผู้รู้ในด้านกฎหมายอย่างละเอียดเสียก่อน

บล็อคสร้างคน คนสร้างบ้าน

สวัสดีทุกๆคน!!! อยากเขียนบล็อคสำหรับผู้อยากมีบ้านคับ